ภาษาไทยในวรรณคดี


        กวีโวหาร หมายถึง ถ้อยคำ สำนวน และชั้นเชิงในการแต่งคำประพันธ์ของกวีซึ่งมุ่งให้เกิดประสิทธิผลทางอารมณ์แก่ผู้อ่านผู้ฟัง

กวีโวหารซึ่งเป็นกระบวนการแต่งคำประพันธ์ มี ๔ ประเภท ดังนี้

       ๑)   เสาวรจนี คือ การแต่งบทประพันธ์ให้มีเนื้อความทำนองชมโฉมหรือชมความงามด้านกายภาพของบุรุษหรือสตรี เช่น ตอนที่ทศกัณฐ์ชมโฉมนางสีดา ดังคำประพันธ์ว่านี้

“พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดั่งจันทร                          พิศขนงก่งงอนดั่งคันศิลป์

พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน                                    พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียงราย

พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งแย้มสรวล                               พิศนวลดั่งศรีมณีฉาย

พิศปรางดั่งปรางทองพราย                              พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง”

    (รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)

       ๒)   นารีปราโมทย์ คือ การแต่งบทประพันธ์ให้มีเนื้อความทำนองฝากรักหรือเกี้ยวพาราสี เพื่อแสดงความรักต่อนางผู้เป็นที่รักของตน เช่น ตอนที่ท้าวทุษยันต์เกี้ยวนางศกุนตลา ดังคำประพันธ์ว่านี้

              “โฉมเฉลา                                        นงเยาว์ยั่วยวนเสน่หา

กามเทพแผลงศรบุษบา                                     ต้องอุราเรียมไหม้ดังไฟกัลป์

ยามพี่แรกเห็นอนงค์นาง                                     พี่เหมือนกวางต้องศรแทบอาสัญ

ยืนนิ่งพินิจพิศพรรณ                                         เลอสรรรูปเรี่ยมเอี่ยมอุไร”

                        (ศกุลตลา พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)

     ๓)   พิโรธวาทัง คือ การแต่งบทประพันธ์ให้มีเนื้อความทำนองแสดงความเคียดแค้น ตัดพ้อต่อว่า เสียดสี เหน็บแนม ประชดประชัน หรือเยาะเย้ย เช่น ตอนที่นางวันทองด่าขุนช้าง ดังคำประพันธ์ว่านี้

“อ้ายเจ้าชู้ลอมปอมกระหม่อมบาง                        ลอยชายลากหางเที่ยวเกี้ยวหมา

ชิชะแป้งจันทน์น้ำมันทา                                     หย่องหน้าสองแคมเหมือนหางเปีย

หมามันจะเกิดชิงหมาเกิด                                    มึงไปตายเสียเถิดอ้ายห้าเบี้ย

หน้าตาเช่นนี้จะมีเมีย                                          อ้ายมะม่วงหมาเลียไม่เจียมใจ”

                                                                 (เสภา  เรื่อง ขุนช้างขุนแผน)

       ๔)   สัลลาปังคพิสัย คือ การแต่งบทประพันธ์ให้มีเนื้อความทำนองคร่ำครวณคะนึงหา หรือรำพันถึงบุคคลอันเป็นที่รักเมื่อยามพรากจากกัน หรือไม่สมปรารถนา เช่น ตอนที่นางเบญจกายแปลงเป็นนางสีดาแล้วทำเป็นตายลอยน้ำมา เมื่อพระรามทอดพระเนตรเห็น ทรงคิดว่าเป็นนางสีดาจริง ทรงคร่ำครวญ ดังคำประพันธ์ว่านี้

“พระเหลือบเล็งชลาสินธุ์                                    ในวารินทะเลวน

เห็นรูปอสุรกล                                                   อันกลายแกล้งเป็นสีดา

ผวาวิ่งประหวั่นจิต                                              ไม่ทันคิดก็โกศา

กอดแก้วขนิษฐา                                                ฤดีดิ้นอยู่แดยัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น